ประโยชน์ด้านสุขภาพของการวิ่งและจ็อกกิ้ง

ประโยชน์ด้านสุขภาพของการวิ่งและจ็อกกิ้ง
การวิ่งหรือจ็อกกิ้งเป็นการออกกำลังกายที่เป็นที่ได้รับความนิยมจากบรรดานักออกกำลังกายทุกเพศทุกวัย และเป็นกีฬาพื้นฐานที่ใช้ทั้งผู้ที่ไม่ได้เป็นนักกีฬา นักกีฬาสมัครเล่น จนไปถึงนักกีฬาอาชีพก็ใช้การวิ่งเป็นการออกกำลังกายพื้นฐานเพื่อการบริหารร่างกาย การวิ่งเป็นประจำมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย จำแนกได้ดังนี้:

-ช่วยสร้างกระดูกให้แข็งแรงเพราะเป็นการออกกำลังกายแบบแบกน้ำหนักตัว 

การวิ่งจะช่วยให้ข้อต่อและกระดูกมีความแข็งแรง และสร้างความสมดุลเกี่ยวกับข้อต่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพทำให้ลดปัญหาเกี่ยวกับโรคที่จะเกิดขึ้นกับข้อต่อและกระดูกได้

-เสริมสร้างกล้ามเนื้อ

การวิ่งเป็นการบริหารร่างกายหลายส่วน อาทิเช่นแขน เอว ขา แข้ง และน่อง ตลอดจนกล้ามเนื้อเท้า การวิ่งเป็นประจำจะทำให้กล้ามเนื้อหลัก โดยเฉพาะขามีความแร็งแรง ทนทาน ผู้ที่วิ่งเป็นประจำจะช่วยให้การเดิน และการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันมีความคล่องแคล่ว คล่องตัว หรือที่เรียกว่าตัวเบาเดินเหินได้สะดวกคล่องแคล่วกว่าผู้ที่ไม่ได้วิ่ง

-ช่วยเสริมสมรรถภาพหัวใจและหลอดเลือด

การวิ่งเป็นการออกกำลังกายโดยใช้อวัยวะหลักหลายส่วน เช่นขาแข้ง และแขน จึงทำให้การทำงานของหัวใจมีการสูบฉีดเลือดได้ดี ทำให้หัวใจแข็งแรงทำให้ระบบหลอดเลือดมีความแข็งแรงไปด้วย

-ช่วยเผาผลาญพลังงาน ลดน้ำหนัก

การวิ่งเป็นการออกกำลังกายโดยมีการเผาผลาญพลังงานสูงประเภทหนึ่ง ซึ่งจะสังเกตุได้ว่าผู้ที่ออกกำลังกายโดยการวิ่งเป็นประจำ น้ำหนักตัวจะลดลงไปอยู่ที่น้ำหนักตัวที่เหมาะสม เพราะเป็นการเผาพลาญพลังงานที่มีอยู่ในร่างกาย ทำให้กล้ามเนื้อได้ถูกใช้งานเผาพลาญไขมันให้หมดไป ทำให้แก้ปัญหาโรคอ้วนลงพุง หรือกำจัดปัญหาเรื่องน้ำหนักเกินได้เป็นอย่างดี

-ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง

อย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้นการวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่ใช้อวัยวะหลักหลายส่วน ทำให้เกิดการเผาพลาญพลังงานเป็นอย่างดี ทำให้หัวใจและหลอดเลือดได้สูบฉีดเลือดได้อย่างเต็มที่ เมื่อกล้ามเนื้อในส่วนหลักได้ใช้งานเป็นประจำจะทำให้เกิดความแข็งแรงของกล้ามเนื้อทั้งกล้ามเนื้อแขนขา และหัวใจหลอดเลือดทำงานได้ดี จึงทำให้ร่างกายของผู้ที่วิ่งเป็นประจำมีความแข็งแรง

-ช่วยให้เจริญอาหาร

การวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่มีการเผาพลาญพลังงานมาก จึงทำให้ผู้ที่ออกกำลังกาย มีความอยากรับประทานอาหาร และทานได้อร่อย เพราะร่างกายต้องการสารอาหารเข้าไปเสริมสร้างร่างกาย

.

การวิ่งกับการจ็อกกิ้ง
ความแตกต่างระหว่างการวิ่งและจ็อกกิ้งคือ ความเข้มข้นและความเร็วที่ใช้ การวิ่งอาจจะเป็นการใช้การวิ่งโดยการใช้กำลังและความเร็วเต็มที่ เพื่อให้เกิดการเผาพลาญพลังงานเต็มที่ แต่การจ๊อกกิ้งอาจจะเป็นการวิ่งแบบเบาๆไม่ใช้ความเร็วมากนักเน้นการให้อวัยวะได้ทำงานต่อเนื่องไปอย่างสม่ำเสมอ

การวิ่งและจ็อกกิ้งสำหรับผู้เริ่มต้น
เคล็ดลับทั่วไปบางประการสำหรับผู้เริ่มต้นในการวิ่ง :

หากไม่เคยวิ่งเลยควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพก่อนเริ่มโปรแกรมวิ่ง สิ่งนี้สำคัญอย่างยิ่งหากคุณอายุเกิน 40 ปี มีน้ำหนักเกิน เจ็บป่วยเรื้อรัง หรือไม่ได้ออกกำลังกายเป็นเวลานาน การตรวจคัดกรองก่อนออกกำลังกายใช้เพื่อระบุผู้ที่มีภาวะทางการแพทย์ที่อาจทำให้พวกเขามีความเสี่ยงสูงที่จะประสบปัญหาสุขภาพระหว่างการออกกำลังกาย เพื่อความปลอดภัย  แบะเพื่อช่วยตัดสินใจว่าผลประโยชน์ที่เป็นไปได้ของการออกกำลังกายมีมากกว่าความเสี่ยงสำหรับคุณหรือไม่

-เริ่มต้นด้วยการเดินเร็ว ตั้งเป้าไว้ครั้งละ 30 นาที ให้เวลาอย่างน้อยหกสัปดาห์เพื่อสร้างการวิ่งปกติ ตั้งเป้าที่จะเพิ่มเวลาการวิ่งและจ็อกกิ้งของคุณในแต่ละครั้ง และสลับกันระหว่างการเดินและการวิ่งจ็อกกิ้ง

-ก่อนวิ่งควร ยืดเส้นยืดสาย หรือวอร์ม ก่อน และหลังวิ่งควรทำให้ร่างกายเย็นลง หรือที่เรียกว่าพูลดาวน์ คือออกกำลังกายเบาๆเพื่อให้ร่างกายผ่อนคลายจนหยุด

-ขณะวิ่ง หรือพัก ควรมีขวดน้ำไว้เพื่อดื่ม หลังจากร่างกายได้ขับเหงื่อ หรือน้ำออกจากร่างกายเพื่อทดแทนน้ำที่เสียไป สร้างความสมดุลให้กับร่างกาย

-วางแผนเส้นทางวิ่งของคุณ ถ้าเป็นไปได้ ให้เลือกพื้นที่ราบและมีหญ้ามากกว่าพื้นผิวแข็งหรือหลวม (เช่น ทราย) เพื่อลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บ
หลีกเลี่ยงการวิ่งใกล้ถนน นี่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งหากคุณมีภาวะที่มีอยู่ก่อน เช่น โรคหอบหืด ควันไอเสียของรถยนต์สามารถเพิ่มความเสี่ยงของการร้องเรียนหรือการเจ็บป่วยต่างๆ ของระบบหัวใจและหลอดเลือดและระบบทางเดินหายใจ หลีกเลี่ยงช่วง ‘ชั่วโมงเร่งด่วน’ เพื่อลดความเสี่ยงของการหายใจเอามลพิษทางอากาศจากยานยนต์ ถ้าเป็นไปได้ ให้กำหนดเวลาการวิ่งของคุณในช่วงเช้าตรู่หรือตอนเย็น

-ควรเลือกชุดวิ่งที่เหมาะสม สวมเสื้อผ้าฝ้ายหลวมๆ.  แต่งกายท่อนบนด้วยเสื้อผ้าหลายชั้นเพื่อให้ถอดชั้นออกได้ตามต้องการ
ทาครีมกันแดด SPF 50+ กับบริเวณผิวที่เปิดรับแสงซื้อรองเท้าที่เหมาะสม